พระพุทธศาสนาเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมไทย
พระพุทธศาสนานอกจากจะเป็นศาสนาประจำชาติไทย และเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยแล้วพระพุทธศาสนายังเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมไทยอีกด้วย จะเห็นได้จากวิถีชีวิตของคนไทยที่ผูกพันอยู่กับพระพุทธศาสนา ความคิดและกิจกรรมทุกด้านของชาติไทยล้วนผสมผสานอยู่ในพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาได้หล่อหลอมจิตชีวิตจิตใจและลักษณะนิสัยของคนไทย ให้เป็นผู้ที่มีจิตใจร่าเริงเบิกบาน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แสดงความเป็นมิตร ยินดีในการให้แบ่งปันให้ความช่วยเหลือ เป็นคนมีน้ำใจ อันเป็นลักษณะเด่นชัดที่ชนต่างชาติประทับใจ และตั้งสมญานามเมืองไทยว่า “สยามเมืองยิ้ม"ภาษาไทยที่มีใช้อย่างสมบูรณ์ก็เพราะเราได้นำภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตในพระพุทธศาสนามาใช้ด้วย ชื่อ จังหวัด เช่น ราชบุรี ธนบุรี เป็นต้น แม้แต่ชื่อสิ่งของที่ใช้ในปัจจุบันก็นิยมนำภาษาบาลีมาใช้ เช่นรถยนต์ เกษตรกรรม ชื่อคน วินัย วีรกรรม สุวรรณา เป็นต้น
มารยาทในสังคมไทย ล้วนมีรากฐานมาจากหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา เช่น มารยาทในการทำความเคารพ มารยาทในการทักทายกัน มารยาทในการต้องรับแขกมารยาทในการรับประทานอาหาร มารยาทในห้องประชุม เป็นต้น
สรุปพุทธประวัติ
การบำเพ็ญเพียร เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุได้ 29 พรรษา ทรงเบื่อหน่ายทางโลกเพราะทรงเห็นเทวทูต 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ จึงเสด็จออกบรรพชาเพื่อค้นหาทางดับทุกข์ให้แก่สัตว์โลก
เมื่อพระองค์เสด็จออกบรรพชาแล้ว พระองค์ได้ไปศึกษาที่สำนักอาฬารดาบส กาลามาโคตร และสำนักอุทกดาบส รามบุตร แต่ก็ไม่สามารถหาทางดับทุกข์ได้ พระองค์จึงลาอาจารย์ทั้งสองไปศึกษาหาความรู้ด้วยพระองค์เอง โดยเสด็จเดินทางไปจนถึงแม่น้ำคยา ซึ่งอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม อันเป็นสถานที่ร่มรื่น มีอากาศดี มีความสงบเงียบ เหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง ในที่สุดพระองค์ทรงตัดสินพระทัยบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ โดยทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา (ความเพียรที่บุคคลทั่วไปทำได้ยาก) ดังนี้
วิธีที่ 1 ขบฟันด้วยฟัน คือกัดฟันเข้าหากันอย่างแรง เมื่อทำนาน ๆ จะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกายจนกระทั่งมีเหงื่อไหลออกจากรักแร้วิธีที่ 2 กลั้นลมหายใจ คือ กลั้นลมหายใจให้ได้นานที่สุดทั้งปากและจมูก วิธีนี้ถ้าเต็มที่แล้วลมจะออกทางช่องหู ทำให้หูอื้อปวดศีรษะจุกเสียด เกิดความร้อนทั่วร่างกายเหมือนนั่งอยู่ในกองไฟวิธีที่ 3 อดอาหาร คือ ไม่กินอาหาร วิธีทำ คือ ค่อย ๆลดปริมาณอาหารลงจนกระทั่งตัดขาดเลย เมื่อถึงที่สุดแล้วร่างกายจะผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกและหมดเรี่ยวแรง พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยวิธีทั้งสาม จนพระวรกายของพระองค์ซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ก็ยังไม่สามารถตรัสรู้ธรรมวิเศษได้ ต่อมาคืนหนึ่ง เทวดาได้นิมิตดีดพิณสามสายให้พระองค์ฟัง คือ สายที่หนึ่ง ขึงไว้ตึงเกินไป พอดีดสายก็ขาด สายที่สอง หย่อนเกินไป พอดีดเสียงจะไม่ไพเราะ สายที่สาม ขึงไว้ปานกลาง พอดีดเสียงจะไพเราะน่าฟังมาก เมื่อพระองค์ทรงเห็นดังนั้น พระองค์ก็ทรงเปรียบเทียบกับการปฏิบัติของพระองค์ โดยพระองค์ทรงเห็นว่าการบำเพ็ญทุกรกิริยานั้นเหมือนกับพิณสายที่หนึ่งคือตึงเกินไป พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทรงหันมาฝึกปฏิบัติทางสายกลางคือฉันภัตตาหารตามปกติและทรงเจริญสมาธิภาวนา
ผจญมาร หลังจากที่พระองค์ทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาและทรงหันมาเจริญสมาธิภาวนาได้ครึ่งเดือนก็ถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ตอนเช้าวันนั้น นางสุชาดา บุตรสาวของนายบ้านเสนานิคมได้หุงข้าวมธุปายาส (ข้าวสุกหุงด้วยนมโค) ไปถวายพระองค์ ตอนบ่ายพระองค์ทรงประทับพักผ่อนที่ดงไม้สาละ ตอนเย็นพระองค์ทรงรับหญ้าคาของนายโสตถิยะพราหมณ์ 8 กำ ต่อจากนั้นทรงลาดหญ้าคาต่างบัลลังก์ทรงหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงนั่งพิงต้นศรีมหาโพธิ์ แล้วทรงอธิษฐานว่า แม้หนัง เอ็น กระดูกและเนื้อเลือดในกายจะเหือดแห้งไปก็ตาม หากยังไม่บรรลุโมกธรรม จะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งตราบนั้น หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงเจริญสมาธิภาวนาในขณะเดียวกันพระยามารชื่อว่า พระยาวัสสวดีได้ขี่ช้างชื่อคิริเมขละ นำเหล่าเสนามารจำนวนมากเข้าไปแสดงอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เพื่อให้พระองค์เสียสัจจะลุกจากที่ประทับจะได้ไม่ต้องตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระองค์ก็ยังทรงประทับนั่งตามปกติมิได้หวั่นไหว พระองค์ทรงนึกพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมาทุกชาติในขณะเดียวกันพระแม่ธรณีได้ผุดจากพื้นดินบิดมวยผมให้น้ำไหลท่วมบริเวณนั้น และเกิดกระแสน้ำไหลพัดพวกเสนามารพากันหนี้กระเจิดกระเจิง พระยามารจึงยอมแพ้และยกทัพกลับไป
ตรัสรู้

ปฐมเทศนา
เมื่อพระองค์ทรงเล็งเห็นดังนี้แล้ว พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะแสดงธรรมโปรดผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดก่อน ครั้งแรกนึกถึงอาจารย์อาฬารดาบส และอาจารย์อุทกดาบส แต่ท่านทั้งสองได้ถึงแก่กรรมแล้ว จึงทรงนึกถึงปัญจวัคคีย์ คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ซึ่งทั้งห้าท่านนั้นเคยอุปัฏฐากพระองค์ในสมัยบำเพ็ญทุกรกิริยา ขณะนี้ท่านทั้งห้านั้นพักอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
พระองค์จึงเสด็จไปที่นั่นในตอนเย็นวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 พระองค์ประทับพักแรมอยู่กับปัญจวัคคีย์ 1 คืน พอรุ่งเช้าซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมเทศนากัณฑ์แรก หรือ เรียกว่าปฐมเทศนา ชื่อ ธัมมจักกัปปวัตนสูตรโปรดปัญจวัคคีย์
ในที่สุดท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก และได้นามใหม่ว่า อัญญาโกณฑัญญ และขอบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา จึงนับว่ามีพระสงฆ์เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก และพระรัตนตรัยครบ 3 ในวันนี้เอง ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปัจจุบันเรียกว่าวันอาสาฬหบูชา
ปรินิพพาน

ที่มา http://innovation.kpru.ac.th/web17/551121703/innovation/index.php/1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น